วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

กว่าจะเป็น..ผ้าไหมบ้านเขว้า




บทสัมภาษณ์คร่าวๆ
         เมื่อก่อนปู่ย่าตายายท่านก็ทอผ้าไหม บ้านนี้จะเป็นหมู่บ้านที่เลี้ยงไหม ทอผ้าไหม โดยที่เมื่อก่อนจะไม่ทำเป็นลายมัดหมี่ จะทอเป็นผ้าลายหางกระรอก เค้าจะเอาระหว่าง 2 เส้น แต่ละเส้นแตกต่างสีกันไป จะสีแดงหรือสีเหลืองบ้าง เอามาเข็นควบเป็นเส้นเดียว เขาเรียกผ้าลายหางกระรอก ที่จริงชาวบ้านเค้าเรียก ผ้าลายควบ มันเป็นควบผ้า เอาไหม 2 เส้นมาควบเป็นเส้นเดียว แล้วก็ทอ มันจะออกมาเป็นลายหางกระรอก แต่ ณ ปัจจุบันนี้ก็พัฒนาในเรื่องของลวดลาย ทำลาย หลายๆลายขึ้นมา ปรากฏว่า ลวดลายที่เราทำน่ะ เคยเข้าประกวดระดับประเทศ ก็ได้ที่ 3  และหลายลายที่ได้เป็นสินค้า OTOP ไปคัดสรรก็จะได้ 5 ดาว ก็จะเป็นลายสายการบิน ลายสายการบินก็จะมีที่มาที่ไปของลาย ก็จากสิ่งที่มองเห็น จากบนตาของเครื่องบิน ก็เลยมาทำเป็นลายมัดหมี่ แล้วก็คัดสรรได้ 5 ดาวลายนี้ ลายที่ประกวดได้ที่ 3 ระดับประเทศก็เป็นลาย ผีเสื้อน้อย หลายๆลายที่หมู่บ้านทำ พัฒนามาจากจินตนาการ จากสิ่งที่มองเห็นก็มาทำเป็นลายมัดหมี่ ประวัติความเป็นมาของบ้านต้อน ก็จะเป็นมาชั่วอายุ หลายๆปี สำหรับป้าเอง มาเข้าวงการในการทอผ้าไหมเนี่ย ก็เป็น 20-30 ปีแล้วล่ะ มันมีสืบทอดจากปู่ย่าตายาย สืบทอดมาในวงการการเลี้ยงไหม ทอผ้าไหม ของบ้านต้อน ก็จะมีประวัติของทุกๆลาย อย่างลายเอกลักษณ์จังหวัดชัยภูมิ ก็จะเป็นลายหมี่ขั้นขอนารี ลายเดิมก็จะเป็นลายขอกะหรี่ อันนี้ก็มีที่มาที่ไปของลาย ลายที่คัดเลือกมาเป็นลายเอกลักษณ์จังหวัดชัยภูมิก็มีที่มาที่ไป เราจะคัดเลือกกันหลายๆอำเภอ แล้วก็มาเป็นลายเอกลักษณ์จังหวัดชัยภูมิ ก็ปรากฏว่า เอาลายของบ้านต้อนเนี่ย ลายขอกะหรี่ เดิมมันเป็นลายขอกะหรี่ที่ยังเป็นลายขอกะหรี่ แต่เขามาบังคับเปลี่ยนชื่อเป็นลายขอนารี เพราะฟังแล้วมันไม่เพราะ ลายขอกะหรี่  มันก็มีที่มาที่ไปของลายนี้ ก็คือเมื่อก่อนที่ชาวบ้านไม่มีน้ำประปาเข้าหมู่บ้าน ก็จะไปหาบน้ำที่บ่อ หรือที่สระมาใช้กัน มากินกัน แล้วก็เอาตะขอมาเกาะถังหาบน้ำ มาใส่ตุ่ม จากตะขอที่เกาะถังหาบน้ำนั้น ก็เลยเอามาคิด มาทำเป็นลายมัดหมี่ ก็ปรากฏว่า ขอมันวกไปวนมา มันทำยาก เค้าก็เลยอุทานออกมาว่า อีกะหรี่เอ้ย ทำไมมันทำยากแท้ภาษาชาวบ้านเมื่อก่อนนี้ ผ่านมาก็เลยตั้งชื่อว่า ลายขอกะหรี่ ลายดั้งเดิมนะคะ ณ ปัจจุบันนี้ก็เปลี่ยนเป็นลายขอนารี แต่เราก็ยังทำอยู่ตลอด เพราะว่าลายนี้เป็นเอกลักษณ์ของบ้านต้อน ส่วนใหญ่บ้านต้อนก็จะทำลายขอ ลายขอก็จะมีหลายชื่อ มีขอกะหรี่ มีขอแตะ ขอเตย ขอราชินี ขอสี่ มีหลายลาย มันก็ประยุกต์ขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ลายที่เราไม่ทิ้งกัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นลายดั้งเดิม ลายขอ อันนี้คือประวัติของบ้านต้อนนะคะ เส้นไหมที่เรานำมาทอเป็นผืนผ้า มันจะเป็นไหมที่เราเลี้ยงเอง ครบวงจรทั้งหมด เป็นพันธุ์ไทยพื้นบ้าน เลี้ยงเองเพาะพันธุ์กันเอง ในหมู่บ้าน ในกลุ่ม หมุนเวียนกันไปตลอดทั้งปี มาตรฐานของผ้าไหมหลายๆมาตรฐาน อย่างเช่น ตรานกยูงเงิน นกยูงทองเป็นตราของหม่อนไหมที่เขารับผิดชอบดูมาตราฐานของผ้า ตราของสมเด็จพระราชินีนาถ เป็นตราของสมเด็จท่าน ระหว่าง OTOP ก็ได้ 3-5 ดาวนะคะ มาตรฐานเส้นไหมของป้าตอนนี้ก็อยู่ในระดับ GI จดทะเบียนผ่านเรียบร้อย ตรวจสอบผ่านเรียบร้อย สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ เค้าเรียกกันเพราะ ใครจะมาซื้อผ้าไหมมาชัยภูมิ มาบ้านต้อน ก็จะได้เป็นผ้าไหม GI เป็นมาตรฐานของสื่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ อันนี้คือในเรื่องของผ้าไหม ในเรื่องของการเลี้ยงไหม การเลี้ยงไหมรุ่นนึงเนี่ย เราใช้เวลา 1 เดือนเต็มๆ กว่าจะได้มาเป็นเส้นไหม สาวไหมเป็นเส้นไหม ต่อ 1 รุ่น ปีหนึ่งๆ เราก็เลี้ยงกัน 12 รุ่น ปกติเราจะเลี้ยงกันแค่ 12 รุ่น หรือ 10 รุ่น แต่ ณ ปัจจุบันนี้ สมาชิกบ้านต้อนก็สามารถเลี้ยงได้ปีหนึ่ง 22 รุ่น ต่อไหม 1 วัย ไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านเนี่ย อายุการใช้งานมันทนมาก คนที่รู้จักการใช้ไหมจะใช้ไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน เส้นมันจะเหนียว อายุการใช้งานมันเป็น 100 ปี แล้วมันก็จะแตกต่างกันระหว่างไหมสาวเครื่องกับไหมสาวมือ แตกต่างกันมาก การเลี้ยงไหม ป้าเคยเอาผ้าลายโบราณไปประกวด 500 ปี ก็จะได้ที่ 1 ใช้งานได้ทนมากๆ ส่วนไหมพันธุ์ผสม จะเลี้ยงแบบสาวด้วยเครื่อง การทนทานจะสู้ไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านไม่ได้ ส่วนเครื่องมือในอดีตจะพัฒนาขึ้นมาก ในอดีตเราจะทำกันเอง อุปกรณ์การเลี้ยง การทอก็ยังโบร่ำโบราณอยู่ แต่ ณ ปัจจุบันนี้ หลายหน่วยงานที่เข้ามาดูแลการเลี้ยงไหม การทอผ้าไหม เค้าก็จะสนับสนุนในเรื่องอุปกรณ์ ก็จะทันสมัยมากขึ้น ยกตัวอย่าง อย่างกี่ทอ เมื่อก่อนก็จะเป็นไม้ แต่ปัจจุบันนี้มาพัฒนาเป็น เหล็กก็ได้ อุปกรณ์มันก็มีเยอะขึ้น อย่างเครื่องสาวไหม เมื่อก่อนนี้เราสาวแบบพื้นบ้าน จากภูมิปัญญาที่เรามี แต่ปัจจุบันก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ในอุปกรณ์การสาวไหม อย่างพวงสาวเราไม่ต้องเอาไหมไปกอเป็นใยอีก เราเอาไปสาวในเครื่อง ทำเป็นใจในตัวเลย 
คุณภาพผ้าไหมจะไม่ต่ำลง เส้นไหมเราได้มาตรฐานตรงนี้ แล้วทำให้เส้นไหม ใจไหมเราได้มาตรฐาน ขั้นตอนทำก็ง่ายขึ้น ได้เร็วกว่า ใช้เวลาน้อยกว่าแบบเดิม  

ผ้าไหม
ผ้าไหมที่มีชื่อเสียงของที่นี่คือผ้าไหมมัดหมี่ สมัยแต่ก่อนจะนิยมสีดำแดง แต่สมัยนี้แล้วแต่ความต้องการของ
ลวดลายที่ทำ
ลวดลายที่ทำมีทั้งแบบดั้งเดิม และแบบพัฒนาลายเองโดยการจินตนาการจากสิ่งที่มองเห็นมาเป็นลาย

ลายผ้าไหมที่ประกวดได้ที่สามของประเทศ คือลายผีเสื้อน้อย

ลายที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดก็มาจากลายของบ้านต้อน ซึ่งก็คือลายตะขอนารี  เดิมชื่อลายขอกะหรี่

ที่มาของลายขอกะหรี่  เมื่อก่อนชาวบ้านเขาหาบน้ำกิน ใช้ตะขอเกาะถังหาบน้ำกินจากบ่อ สระต่างๆ ปรากฏว่าเอาตะขอเกาะถังมาทำเป็นลายมัดหมี่ ปรากฏว่ามันทำยาก มันไม่ต่อเนื่องกันก็เลยอุทานว่า อีกะหรี่ ต่อมาลายนั้นทำเป็นลายต่อเนื่องกันได้ก็เลยเรียกลายขอกะหรี่ มันไม่สุภาพก็เลยเปลี่ยนเป็นลายตะขอนารี

กรรมวิธีในการผลิตผ้าไหม
1.การเลี้ยงไหม

วงจรชีวิตของไหมหรือหนอนไหมใช้เวลาประมาณ 1 เดือน หนอนไหมจะกินใบหม่อนหลังจากฟักออกจากไข่ประมาณวันที่ 10 จากนั้นจะหยุดกินอาหารและลอกคราบ ระยะนี้เรียกว่า ไหมนอน ต่อจากนั้นจะกินนอนและลอกคราบประมาณ 4ครั้งเรียกว่า ไหมตื่น ลำตัวจะมีสีขาวเหลืองใสหดสั้น และหยุดกินอาหาร ระยะนี้เรียกว่า หนอนสุก ช่วงนี้ผู้เลี้ยงไหมต้องรีบแยกหนอนไหมสุกออกจากกองใบหม่อน และเตรียม จ่อ คืออุปกรณ์ที่จะให้ตัวไหมเกาะเพื่อชักใยห่อหุ้มตัว

       
หนอนจะเริ่มพ่นใยได้ประมาณ 3-4 วัน ก็จะสามารถเก็บรังไหมออกจากจ่อได้ เส้นใยของหนอนเกิดจากการขับของเหลวชนิดหนึ่ง มีสารโปร่งแสงเป็นองค์ประกอบ ใยไหมที่เห็นแต่ละเส้นจะประกอบด้วยเส้นใยเล็กๆ สองเส้นรวมกัน สามารถฉีกแยกออกจากกันได้ 




หนอนไหมจะเจาะรังออกมาเป็นผีเสื้อเมื่ออยู่ในรังครบ 10 วัน ซึ่งผู้เลี้ยงจะคัดไหมที่สมบูรณ์ไว้ทำพันธุ์ ส่วนที่เหลือนำไปสาวไหมก่อนที่ผีเสื้อจะเจาะรังออกมา ซึ่งเส้นจะขาดและทำเส้นไหม




2.การสาวไหม

การสาวไหมเป็นการดึงเส้นใยไหมออกจากเปลือกรัง เส้นใยไหมจากหลายๆรังที่ต้มแล้วเมื่อนำมาสาวจะพันกันเป็นเกลียวรวมกันเป็นเส้นไหม 







3.การตีเกลียว

การตีเกลียวไหมจะช่วยทำให้ผ้าที่จะทอมีความหนา หลังจากเอาไหมสองไหมสามออก ใช้ไม้คีบลักษณะคล้ายไม้พาย มีร่องกลางสำหรับคีบ เกลี่ยรังไหมกดให้เส้นไหมตีเกลียวแน่นดูเล็ก ต้องระมัดระวังและต้องอาศัยความชำนาญ และมีเทคนิคในการทำให้รังที่ต้มเกาะกันเป็นเส้นตามขนาดที่ต้องการ ทำให้เส้นไหมพันหรือไขว้กันหลายๆ รอบ แล้วพักไว้ในกระบุงต่อ จากนั้นจะนำมากรอเข้า กง แล้วนำไปหมุนเข้า อัก เพื่อตรวจหาปุ่มปม หรือตัดแต่งเส้นไหมที่ไม่เท่ากันออก จึงเอาเข้าเครื่องปั่นเพื่อให้เส้นไหมแน่นขึ้น ก่อนที่จะหมุนเข้ากงอีกครั้ง เพื่อรวมเป็นไจ ซึ่งหนึ่งไจจะต้องหมุนกง 80 รอบ เรียกว่า ไหมดิบ เส้น ไหมดิบที่ได้จะต้องทำการชุบให้อ่อนตัว โดยนำไปชุบน้ำสบู่อ่อนๆ ประมาณ 15-20 นาที แล้วนำไปสลัดและผึ่งลมให้แห้ง โดยหมั่นกระตุกให้เส้นไหมแยกตัวเพื่อนำไปเข้าระวิงได้จาก นั้นก็กรอเส้นไหมเข้าหลอดๆ ละเส้น แล้วดึงปลายไหมแต่ละหลอดเข้าไปรวมกัน ม้วนเข้าหลอดควบตามขนาดที่ต้องการ จากนั้นก็นำไปตีเกลียวประมาณ 330 รอบ ต่อความยาว 1 เมตร จากนั้นก็นำไหมไปนึ่งหรือลวก เพื่อป้องกันมิให้เกลียวเส้นไหมหมุนกลับ หลังจากนั้นก็จะชุบน้ำเย็นแล้วกรอเข้าระวิง เรียกว่า ทำเข็ด ซึ่งจะทำให้เกลียวอยู่ตัว


4.การฟอกและย้อมสี

การย้อมสีไหมจะต้องนำไหมดิบมาฟอกกาวก่อน ซึ่งจะฟอกจากสีเดิมคือสีเหลืองให้เป็นสีขาว เพื่อให้ติดสี แล้วจึงนำไปมัดหมี่โดยเชือกฟาง เพื่อย้อมสี จากนั้นก็นำไปย้อมสีตามต้องการ














5.การทอผ้า

การทอผ้าไหมจะประกอบไปด้วยเส้นด้าย 2 ชุด คือ เส้นด้ายยืน จะขึงไปตามความยาวผ้าอยู่ติดในเครื่องทอ หรือแกนม้วนด้านยืน อีกชนิดหนึ่งคือ เส้นด้ายพุ่ง จะถูกกรอเข้ากระสวย เพื่อให้กระสวยเป็นตัวนำเส้นด้ายพุ่งสอดขัดเส้นด้ายยืนเป็นมุมฉาก ทอสลับกันไปตลอดความยาวของผืนผ้า การสอดด้ายพุ่งแต่ละเส้นต้องสอดให้สุดถึงริมแต่ละด้าน แล้วจึงวกกลับมา จะทำให้เกิดริมผ้าเป็นเส้นตรงทั้งสองด้าน ส่วนลวดลายของผ้านั้น ขึ้นอยู่กับการวางลายผ้าของแต่ละท้องถิ่น






เทคโนโลยีที่ใช้ในกระบวนการผลิตผ้าไหม

กี่ทอผ้า




  เครื่องมือที่ใช้ในการทอผ้าไหมในตอนแรก ที่ทำมาจากไม้

ต่อมาถูกพัฒนาให้แข็งแรงขึ้น โดยทำจากเหล็ก


เครื่องสาวไหม


เครื่องสาวไหมแบบเดิม ก่อนที่จะมีพัฒนา


เครื่องสาวไหมที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้นโดยการเพิ่มรอก
















เครื่องสาวไหมที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยใช้ไฟฟ้าแทนการทำมือ


เครื่องเร่งไหม


เครื่องปั่นไหม


อุปกรณ์ในการมัดหมี่