บทสัมภาษณ์คร่าวๆ
“เมื่อก่อนปู่ย่าตายายท่านก็ทอผ้าไหม
บ้านนี้จะเป็นหมู่บ้านที่เลี้ยงไหม ทอผ้าไหม โดยที่เมื่อก่อนจะไม่ทำเป็นลายมัดหมี่
จะทอเป็นผ้าลายหางกระรอก เค้าจะเอาระหว่าง 2 เส้น
แต่ละเส้นแตกต่างสีกันไป จะสีแดงหรือสีเหลืองบ้าง เอามาเข็นควบเป็นเส้นเดียว
เขาเรียกผ้าลายหางกระรอก ที่จริงชาวบ้านเค้าเรียก ผ้าลายควบ มันเป็นควบผ้า เอาไหม 2
เส้นมาควบเป็นเส้นเดียว แล้วก็ทอ มันจะออกมาเป็นลายหางกระรอก แต่ ณ
ปัจจุบันนี้ก็พัฒนาในเรื่องของลวดลาย ทำลาย หลายๆลายขึ้นมา ปรากฏว่า
ลวดลายที่เราทำน่ะ เคยเข้าประกวดระดับประเทศ ก็ได้ที่ 3 และหลายลายที่ได้เป็นสินค้า OTOP
ไปคัดสรรก็จะได้ 5 ดาว ก็จะเป็นลายสายการบิน
ลายสายการบินก็จะมีที่มาที่ไปของลาย ก็จากสิ่งที่มองเห็น จากบนตาของเครื่องบิน
ก็เลยมาทำเป็นลายมัดหมี่ แล้วก็คัดสรรได้ 5 ดาวลายนี้
ลายที่ประกวดได้ที่ 3 ระดับประเทศก็เป็นลาย ผีเสื้อน้อย หลายๆลายที่หมู่บ้านทำ
พัฒนามาจากจินตนาการ จากสิ่งที่มองเห็นก็มาทำเป็นลายมัดหมี่
ประวัติความเป็นมาของบ้านต้อน ก็จะเป็นมาชั่วอายุ หลายๆปี สำหรับป้าเอง
มาเข้าวงการในการทอผ้าไหมเนี่ย ก็เป็น 20-30 ปีแล้วล่ะ
มันมีสืบทอดจากปู่ย่าตายาย สืบทอดมาในวงการการเลี้ยงไหม ทอผ้าไหม ของบ้านต้อน
ก็จะมีประวัติของทุกๆลาย อย่างลายเอกลักษณ์จังหวัดชัยภูมิ
ก็จะเป็นลายหมี่ขั้นขอนารี ลายเดิมก็จะเป็นลายขอกะหรี่ อันนี้ก็มีที่มาที่ไปของลาย
ลายที่คัดเลือกมาเป็นลายเอกลักษณ์จังหวัดชัยภูมิก็มีที่มาที่ไป
เราจะคัดเลือกกันหลายๆอำเภอ แล้วก็มาเป็นลายเอกลักษณ์จังหวัดชัยภูมิ ก็ปรากฏว่า
เอาลายของบ้านต้อนเนี่ย ลายขอกะหรี่ เดิมมันเป็นลายขอกะหรี่ที่ยังเป็นลายขอกะหรี่
แต่เขามาบังคับเปลี่ยนชื่อเป็นลายขอนารี เพราะฟังแล้วมันไม่เพราะ ลายขอกะหรี่ มันก็มีที่มาที่ไปของลายนี้
ก็คือเมื่อก่อนที่ชาวบ้านไม่มีน้ำประปาเข้าหมู่บ้าน ก็จะไปหาบน้ำที่บ่อ
หรือที่สระมาใช้กัน มากินกัน แล้วก็เอาตะขอมาเกาะถังหาบน้ำ มาใส่ตุ่ม
จากตะขอที่เกาะถังหาบน้ำนั้น ก็เลยเอามาคิด มาทำเป็นลายมัดหมี่ ก็ปรากฏว่า
ขอมันวกไปวนมา มันทำยาก เค้าก็เลยอุทานออกมาว่า “ อีกะหรี่เอ้ย
ทำไมมันทำยากแท้” ภาษาชาวบ้านเมื่อก่อนนี้
ผ่านมาก็เลยตั้งชื่อว่า ลายขอกะหรี่ ลายดั้งเดิมนะคะ ณ
ปัจจุบันนี้ก็เปลี่ยนเป็นลายขอนารี แต่เราก็ยังทำอยู่ตลอด
เพราะว่าลายนี้เป็นเอกลักษณ์ของบ้านต้อน ส่วนใหญ่บ้านต้อนก็จะทำลายขอ
ลายขอก็จะมีหลายชื่อ มีขอกะหรี่ มีขอแตะ ขอเตย ขอราชินี ขอสี่ มีหลายลาย
มันก็ประยุกต์ขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ลายที่เราไม่ทิ้งกัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นลายดั้งเดิม
ลายขอ อันนี้คือประวัติของบ้านต้อนนะคะ เส้นไหมที่เรานำมาทอเป็นผืนผ้า มันจะเป็นไหมที่เราเลี้ยงเอง
ครบวงจรทั้งหมด เป็นพันธุ์ไทยพื้นบ้าน เลี้ยงเองเพาะพันธุ์กันเอง ในหมู่บ้าน
ในกลุ่ม หมุนเวียนกันไปตลอดทั้งปี มาตรฐานของผ้าไหมหลายๆมาตรฐาน อย่างเช่น
ตรานกยูงเงิน นกยูงทองเป็นตราของหม่อนไหมที่เขารับผิดชอบดูมาตราฐานของผ้า
ตราของสมเด็จพระราชินีนาถ เป็นตราของสมเด็จท่าน ระหว่าง OTOP ก็ได้ 3-5 ดาวนะคะ
มาตรฐานเส้นไหมของป้าตอนนี้ก็อยู่ในระดับ GI จดทะเบียนผ่านเรียบร้อย
ตรวจสอบผ่านเรียบร้อย สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ เค้าเรียกกันเพราะ
ใครจะมาซื้อผ้าไหมมาชัยภูมิ มาบ้านต้อน ก็จะได้เป็นผ้าไหม GI เป็นมาตรฐานของสื่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ อันนี้คือในเรื่องของผ้าไหม
ในเรื่องของการเลี้ยงไหม การเลี้ยงไหมรุ่นนึงเนี่ย เราใช้เวลา 1 เดือนเต็มๆ กว่าจะได้มาเป็นเส้นไหม สาวไหมเป็นเส้นไหม ต่อ 1 รุ่น ปีหนึ่งๆ เราก็เลี้ยงกัน 12 รุ่น
ปกติเราจะเลี้ยงกันแค่ 12 รุ่น หรือ 10
รุ่น แต่ ณ ปัจจุบันนี้ สมาชิกบ้านต้อนก็สามารถเลี้ยงได้ปีหนึ่ง 22 รุ่น ต่อไหม 1 วัย ไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านเนี่ย
อายุการใช้งานมันทนมาก คนที่รู้จักการใช้ไหมจะใช้ไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน
เส้นมันจะเหนียว อายุการใช้งานมันเป็น 100 ปี
แล้วมันก็จะแตกต่างกันระหว่างไหมสาวเครื่องกับไหมสาวมือ แตกต่างกันมาก
การเลี้ยงไหม ป้าเคยเอาผ้าลายโบราณไปประกวด 500 ปี
ก็จะได้ที่ 1 ใช้งานได้ทนมากๆ ส่วนไหมพันธุ์ผสม
จะเลี้ยงแบบสาวด้วยเครื่อง การทนทานจะสู้ไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านไม่ได้
ส่วนเครื่องมือในอดีตจะพัฒนาขึ้นมาก ในอดีตเราจะทำกันเอง อุปกรณ์การเลี้ยง
การทอก็ยังโบร่ำโบราณอยู่ แต่ ณ ปัจจุบันนี้
หลายหน่วยงานที่เข้ามาดูแลการเลี้ยงไหม การทอผ้าไหม
เค้าก็จะสนับสนุนในเรื่องอุปกรณ์ ก็จะทันสมัยมากขึ้น ยกตัวอย่าง อย่างกี่ทอ
เมื่อก่อนก็จะเป็นไม้ แต่ปัจจุบันนี้มาพัฒนาเป็น เหล็กก็ได้
อุปกรณ์มันก็มีเยอะขึ้น อย่างเครื่องสาวไหม เมื่อก่อนนี้เราสาวแบบพื้นบ้าน
จากภูมิปัญญาที่เรามี แต่ปัจจุบันก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ในอุปกรณ์การสาวไหม
อย่างพวงสาวเราไม่ต้องเอาไหมไปกอเป็นใยอีก เราเอาไปสาวในเครื่อง ทำเป็นใจในตัวเลย
คุณภาพผ้าไหมจะไม่ต่ำลง
เส้นไหมเราได้มาตรฐานตรงนี้ แล้วทำให้เส้นไหม ใจไหมเราได้มาตรฐาน
ขั้นตอนทำก็ง่ายขึ้น ได้เร็วกว่า ใช้เวลาน้อยกว่าแบบเดิม”
✤ผ้าไหม
ผ้าไหมที่มีชื่อเสียงของที่นี่คือผ้าไหมมัดหมี่
สมัยแต่ก่อนจะนิยมสีดำแดง แต่สมัยนี้แล้วแต่ความต้องการของ
✤ลวดลายที่ทำ
•ลวดลายที่ทำมีทั้งแบบดั้งเดิม
และแบบพัฒนาลายเองโดยการจินตนาการจากสิ่งที่มองเห็นมาเป็นลาย
•ลายผ้าไหมที่ประกวดได้ที่สามของประเทศ
คือลายผีเสื้อน้อย
•ลายที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดก็มาจากลายของบ้านต้อน
ซึ่งก็คือลายตะขอนารี เดิมชื่อลายขอกะหรี่
ที่มาของลายขอกะหรี่ เมื่อก่อนชาวบ้านเขาหาบน้ำกิน
ใช้ตะขอเกาะถังหาบน้ำกินจากบ่อ สระต่างๆ ปรากฏว่าเอาตะขอเกาะถังมาทำเป็นลายมัดหมี่
ปรากฏว่ามันทำยาก มันไม่ต่อเนื่องกันก็เลยอุทานว่า อีกะหรี่
ต่อมาลายนั้นทำเป็นลายต่อเนื่องกันได้ก็เลยเรียกลายขอกะหรี่
มันไม่สุภาพก็เลยเปลี่ยนเป็นลายตะขอนารี
✤กรรมวิธีในการผลิตผ้าไหม
1.การเลี้ยงไหม
1.การเลี้ยงไหม
วงจรชีวิตของไหมหรือหนอนไหมใช้เวลาประมาณ
1
เดือน หนอนไหมจะกินใบหม่อนหลังจากฟักออกจากไข่ประมาณวันที่ 10
จากนั้นจะหยุดกินอาหารและลอกคราบ ระยะนี้เรียกว่า “ ไหมนอน ” ต่อจากนั้นจะกินนอนและลอกคราบประมาณ 4ครั้งเรียกว่า “ ไหมตื่น ” ลำตัวจะมีสีขาวเหลืองใสหดสั้น
และหยุดกินอาหาร ระยะนี้เรียกว่า “ หนอนสุก ” ช่วงนี้ผู้เลี้ยงไหมต้องรีบแยกหนอนไหมสุกออกจากกองใบหม่อน และเตรียม “
จ่อ ” คืออุปกรณ์ที่จะให้ตัวไหมเกาะเพื่อชักใยห่อหุ้มตัว

หนอนจะเริ่มพ่นใยได้ประมาณ 3-4 วัน ก็จะสามารถเก็บรังไหมออกจากจ่อได้ เส้นใยของหนอนเกิดจากการขับของเหลวชนิดหนึ่ง มีสารโปร่งแสงเป็นองค์ประกอบ ใยไหมที่เห็นแต่ละเส้นจะประกอบด้วยเส้นใยเล็กๆ สองเส้นรวมกัน สามารถฉีกแยกออกจากกันได้
หนอนไหมจะเจาะรังออกมาเป็นผีเสื้อเมื่ออยู่ในรังครบ
10
วัน ซึ่งผู้เลี้ยงจะคัดไหมที่สมบูรณ์ไว้ทำพันธุ์
ส่วนที่เหลือนำไปสาวไหมก่อนที่ผีเสื้อจะเจาะรังออกมา ซึ่งเส้นจะขาดและทำเส้นไหม
2.การสาวไหม
การสาวไหมเป็นการดึงเส้นใยไหมออกจากเปลือกรัง
เส้นใยไหมจากหลายๆรังที่ต้มแล้วเมื่อนำมาสาวจะพันกันเป็นเกลียวรวมกันเป็นเส้นไหม
3.การตีเกลียว
การตีเกลียวไหมจะช่วยทำให้ผ้าที่จะทอมีความหนา
หลังจากเอาไหมสองไหมสามออก ใช้ไม้คีบลักษณะคล้ายไม้พาย มีร่องกลางสำหรับคีบ
เกลี่ยรังไหมกดให้เส้นไหมตีเกลียวแน่นดูเล็ก ต้องระมัดระวังและต้องอาศัยความชำนาญ
และมีเทคนิคในการทำให้รังที่ต้มเกาะกันเป็นเส้นตามขนาดที่ต้องการ
ทำให้เส้นไหมพันหรือไขว้กันหลายๆ รอบ แล้วพักไว้ในกระบุงต่อ จากนั้นจะนำมากรอเข้า “
กง ” แล้วนำไปหมุนเข้า “ อัก ” เพื่อตรวจหาปุ่มปม
หรือตัดแต่งเส้นไหมที่ไม่เท่ากันออก จึงเอาเข้าเครื่องปั่นเพื่อให้เส้นไหมแน่นขึ้น
ก่อนที่จะหมุนเข้ากงอีกครั้ง เพื่อรวมเป็นไจ ซึ่งหนึ่งไจจะต้องหมุนกง 80 รอบ เรียกว่า “ ไหมดิบ ”เส้น
ไหมดิบที่ได้จะต้องทำการชุบให้อ่อนตัว โดยนำไปชุบน้ำสบู่อ่อนๆ ประมาณ 15-20
นาที แล้วนำไปสลัดและผึ่งลมให้แห้ง
โดยหมั่นกระตุกให้เส้นไหมแยกตัวเพื่อนำไปเข้าระวิงได้จาก
นั้นก็กรอเส้นไหมเข้าหลอดๆ ละเส้น แล้วดึงปลายไหมแต่ละหลอดเข้าไปรวมกัน
ม้วนเข้าหลอดควบตามขนาดที่ต้องการ จากนั้นก็นำไปตีเกลียวประมาณ 330 รอบ ต่อความยาว 1 เมตร จากนั้นก็นำไหมไปนึ่งหรือลวก
เพื่อป้องกันมิให้เกลียวเส้นไหมหมุนกลับ
หลังจากนั้นก็จะชุบน้ำเย็นแล้วกรอเข้าระวิง เรียกว่า “ ทำเข็ด
” ซึ่งจะทำให้เกลียวอยู่ตัว
4.การฟอกและย้อมสี
การย้อมสีไหมจะต้องนำไหมดิบมาฟอกกาวก่อน
ซึ่งจะฟอกจากสีเดิมคือสีเหลืองให้เป็นสีขาว เพื่อให้ติดสี
แล้วจึงนำไปมัดหมี่โดยเชือกฟาง เพื่อย้อมสี จากนั้นก็นำไปย้อมสีตามต้องการ

การทอผ้าไหมจะประกอบไปด้วยเส้นด้าย
2
ชุด คือ “ เส้นด้ายยืน ” จะขึงไปตามความยาวผ้าอยู่ติดในเครื่องทอ หรือแกนม้วนด้านยืน
อีกชนิดหนึ่งคือ “ เส้นด้ายพุ่ง ” จะถูกกรอเข้ากระสวย
เพื่อให้กระสวยเป็นตัวนำเส้นด้ายพุ่งสอดขัดเส้นด้ายยืนเป็นมุมฉาก ทอสลับกันไปตลอดความยาวของผืนผ้า
การสอดด้ายพุ่งแต่ละเส้นต้องสอดให้สุดถึงริมแต่ละด้าน แล้วจึงวกกลับมา
จะทำให้เกิดริมผ้าเป็นเส้นตรงทั้งสองด้าน ส่วนลวดลายของผ้านั้น
ขึ้นอยู่กับการวางลายผ้าของแต่ละท้องถิ่น
✤เทคโนโลยีที่ใช้ในกระบวนการผลิตผ้าไหม
•เครื่องสาวไหม
เครื่องสาวไหมที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยใช้ไฟฟ้าแทนการทำมือ
•เครื่องเร่งไหม
•เครื่องปั่นไหม
•อุปกรณ์ในการมัดหมี่
เครื่องสาวไหมแบบเดิม
ก่อนที่จะมีพัฒนา
เครื่องสาวไหมที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้นโดยการเพิ่มรอก
เครื่องสาวไหมที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยใช้ไฟฟ้าแทนการทำมือ
•เครื่องเร่งไหม
•เครื่องปั่นไหม
•อุปกรณ์ในการมัดหมี่


















